บทความต้องรู้

เพราะรอยยิ้มของคุณ คือความสุขของเรา

วิธีการดูแลรถในช่วง ฤดูร้อนต้องอย่างไรบ้าง ?

19/เม.ย./2564

วิธีการดูแลรถในช่วง ฤดูร้อนต้องอย่างไรบ้าง ?

ฤดูร้อน พูดถึงฤดูร้อนต้องคิดถึงแสงแดด ที่ร้อนแรง และไม่ค่อยจะเป็นมิตรต่อรถและผิวพรรณ

ของเราเท่าไร แถมยังทำให้ตัวเราตัวเหนียวเหนอะหนะอีกด้วย หน้าร้อนแบบนี้ เหมาะกับการขับรถ

ออกไปเที่ยวทะเลป็นที่สุด แต่ก่อนจะเดินทางไปไหน เราควรเช็กรถของเราก่อนเดินทางกันด้วยนะคะ

ยางรถยนต์ - ทุกครั้งที่รถวิ่งไปอุณหภูมิของยางจะสูงขึ้น ยิ่งในหน้าร้อนยังต้องมาเจอกับถนน

ร้อนๆ อีก จะทำให้อุณหภูมิภายในยางสูงขึ้นจนเกิดระเบิดได้ ดังนั้นควรเติมลมยางให้มากขึ้นสัก 1-2

ปอนด์ เพื่อลดอุณหภูมิที่เกิดจากการบิดตัวของแก้มยาง และหลีกเลี่ยงการจอดรถตากแดดเป็นเวลาๆ

เพื่อหลีกเลี่ยงการเสื่อมสภาพของยางด้วย

ที่ขัดน้ำผน - ยางกับความร้อนเป็นอะไรที่ไม่ถูกกัน เพราะความร้อนจะเร่งการเสื่อมสภาพของ

ยาง ยิ่งในช่วงฤดูร้อนพวกยางปัดน้ำฝนเราจะแทบไม่ได้ใช้เลย ประกอบกับอุณหภูมิที่สูงขึ้นบนกระจก

จะเป็นตัวเร่งการเสื่อมสภาพ ดังนั้นเวลาจอดรถในช่วงหน้าร้อน ให้ยกใบปัดน้ำฝนขึ้น จะช่วยยืดอายุ

ของยางปัดน้ำฝน

แอร์ - ฤดูร้อนทำให้การทำงานของแอร์ในรถยนต์ต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้น เพราะต้องเร่งทำ

ความเย็นสู้กับอุณหภูมิที่สูงกว่าปกติ ดังนั้นเมื่อขึ้นรถอย่าเพิ่งรีบร้อนเปิดแอร์ในทันที ควรเปิดประตู

หรือกระจกเพื่อปรับอุณภูมิภายในรถเสียก่อน พร้อมเปิดพัดลมแอร์เบอร์แรงสุด โดยอย่าเพิ่งเปิดสวิตช์

การทำงานของคอมเพรสเซอร์ หรือ Ac รอให้ไอร้อนจากช่องแอร์ออกมาจนหมดจึงค่อยกดปุ่ม A/c

แบบนี้ก็จะช่วยลดการทำงานของแอร์ลงไปได้เยอะเลย

อุปกรณ์ภายในรถ - อย่างเบาะ หรือปุ่มกดต่างๆ ที่ทำจาก ยาง พลาสติก และหนัง วัสดุเหล่านี้

ไม่ถูกกับความร้อน โดยเฉพาะการจอดรถตากแดดเป้นเวลานานๆ ยิ่งจะเร่งให้เสื่อมสภาพ ดงันั้นหาก

ต้องจอดรถตากแดด ให้แง้มกระจกทั้ง 4 ด้านไว้เล็กน้อย แค่พอให้ปลายนิ้วลอดได้ เพื่อระบายความ

ร้อนระหว่างที่รถจอดตากแดด

หม้อน้ำ - ปกติแล้วเครื่องยนต์ระบายความร้อนโดยการทำงานของหม้อน้ำ ยิ่งในช่วงหน้าร้อน

แบบนี้เครื่องยนต์จะร้อนกว่าปกติ ดังนั้นอย่าลืมเช็กหม้อน้ำด้วยว่ามีระดับน้ำอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่

เพราะถ้าความร้อนขึ้นงานอาจเข้าได้

เอาล่ะ เมื่อรถพร้อมแล้ว ก็ออกเดินทางไปเที่ยวทะเลกันได้เลยค่ะ อ่ะ ! อย่าลืมพกร่มหรือหมวก

ไปกันด้วยนะคะ เดี๋ยวจะไม่สบายเอานะคะ เหนื่อสิ่งอื่นใดในช่วงเศรษฐกิจแบบนี้เราควรเลือกร้าน

รถยนต์มือสองที่คุ้มคำคุ้มราคา อนุมัติไว ผ่อนสบาย ฟรีดาวน์ หากใครที่กำลังมองหาร้านรถยนต์มือ

สอง ให้คิดถึงเรา รถมือสองพัทยา รถมือสองชลบุรี เต็นท์รถมือสองที่ใหญ่ที่สุดในพัทยา รถมือสอง

สภาพสวย สภาพนางฟ้า ไม่ว่าจะเป็น รถเก๋ง รถกระบะ รถครอบครัว ต้องที่นี่ "ไมค์ คาร์ แกลเลอรี่"

เท่านั้น!!!

ปล.สนใจซื้อตอนนี้มีโปรโมชั่นดีๆรออยู่

บทความอื่นที่ใกล้เคียง

เพราะรอยยิ้มของคุณ คือความสุขของเรา

ลมยางรถยนต์ควรเติมเท่าไหร่จึงจะดีที่สุด

รถแต่ละประเภทหรือแต่ละรุ่นเติมแรงดันลมยางไม่เท่ากัน จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามโดยเด็ดขาดเลยนะคะ แรงดันลมยางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเติมลมยางรถเก๋งนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 30-32 PSI (ปอนด์ต่อตารางนิ้ว) สำหรับล้อหน้าและล้อหลัง แต่ถ้าหากต้องบรรทุกน้ำหนักมาก เช่น กรณีที่มีผู้โดยสารเต็มทั้ง 5 ที่นั่ง หรือบรรทุกของด้านหลังจนเต็ม อาจเพิ่มปริมาณการเติมได้ถึง 33-35 PSI เนื่องจากน้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้น ส่วนแรงดันลมยางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับรถกระบะนั้นจะค่อนข้างใช้ลมยางที่มากกว่ารถเก๋งโดยสารตามปกติ โดยสำหรับล้อหน้าแรงดันยางจะอยู่ที่ประมาณ 36-38 PSI และล้อหลังที่ 40-42 PSI แต่ถ้าหากบรรทุกของเต็มท้ายรถ ก็สามารถเพิ่มปริมาณการเติมลมเพื่อรองรับน้ำหนักได้มากถึง 47-51 PSI เลยทีเดียวค่ะ

วิธีการเลือกรถยนต์มือสอง

ในยุคสมัยปัจจุบันนี้การจะออกรถยนต์ใหม่ป้ายแดงสักคัน อาจเป็นปัญหาใหญ่สำหรับใครหลายๆคนเนื่องจากเราทุกคนก็คงไม่ยากจะเพิ่มภาระให้ตัวเองในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ผู้คนส่วนใหญ่จึงหันมามองที่ตลาดรถยนต์มือสอง เพราะว่าในราคาที่เท่ากันเราสามารถที่จะซื้อรถยนต์มือสองยี่ห้อเดียวกันรุ่นที่เหนือกว่ารถยนต์ป้ายแดงยี่ห้อเดียวกัน หรือ สามารถที่จะซื้อรถยนต์รุ่นเดียวกันในราคาที่ต่ำกว่า แต่ก่อนที่เราจะตัดสินใจซื้อเราควรมาทราบถึงวิธีการเลือกรถยนต์มือสองที่จะทำให้เราได้รถยนต์มือสองที่สภาพดีและคุ้มค่ากับราคาและลดปัญหาที่จะพบเจอจากรถยนต์มือสองที่เราตัดสินใจซื้อ โดยขั้นตอนในการเลือกและตรวจสอบรถยนต์มือสองมีตามขั้นตอนดังนี้

ไส้กรองอากาศ ตรวจเช็กง่ายๆ ด้วยตัวเอง

ไส้กรองอากาศ มีหน้าที่ เปรียบเสมือนจมูกของคนเราเนี่ยแหละค่ะ หากสูดอากาศที่มีแต่เศษฝุ่นเข้ามาก ๆ ก็ไม่ดีต่อร่างกาย ไส้กรองอากาศจะค่อยดักจับฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกไม่ให้เข้าไปภายในเครื่องยนต์ ซึ่งเมื่อใช้งานไปนาน ๆ อาจจะทำให้เกิดการอุดตัน อากาศผ่านเข้าไปในกระบอกสูบได้น้อยลง และทำให้การเผาไหม้ในห้องเครื่องยนต์ไม่สมบูรณ์ อายุการใช้งานของไส้กรองอากาศจะสั้นหรือยาว ขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละบุคคล และสภาพแวดล้อมเป็นหลัก โดยปกติทางบริษัทรถยนต์ กำหนดให้เราเปลี่ยนไส้กรองอากาศทุก ๆ 20,000-40,000 กิโลเมตร

scroll up