บทความต้องรู้

เพราะรอยยิ้มของคุณ คือความสุขของเรา

ขับรถทางไกล ต้องเช็คอะไรบ้าง?

24/มี.ค./2566

ขับรถทางไกล ต้องเช็คอะไรบ้าง?

   หลังจากทำงานหนักกันมาทั้งปี พอถึงช่วงวันหยุดยาว หลายคนมีแผนเดินทางกลับบ้านไปหาครอบครัว พาลูกไป ทัศนศึกษาช่วงปิดเทอม หรือนัดเพื่อนฝูงไปเที่ยวพักผ่อนที่รีสอร์ทติดทะเล ซึ่งการเดินทางส่วนใหญ่จะใช้รถยนต์เป็นหลัก ถ้าอยากให้การเดินทางไกลราบรื่น ปลอดภัย ไม่สะดุดเพราะปัญหารถเสียกลางทาง เราควรเตรียมตัวให้พร้อมโดยการตรวจเช็ครถก่อนขับรถทางไกล ต้องเช็คอะไรบ้าง มีจุดไหนที่เราต้องตรวจสอบก่อนขับรถทางไกล วันนี้ #ไมค์คาร์แกลอรี่ เรามีคำตอบ

 

  • แบตเตอรี่รถยนต์ ต้องเช็คอะไรบ้าง

    การที่เราจะขับรถทางไกล จำเป็นต้องตรวจเช็คแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการสตาร์ทเครื่องยนต์ มี 3 แบบ ได้แก่ แบบน้ำ แบบแห้ง และแบบกึ่งแห้ง ถ้าเป็นแบตเตอรี่แบบน้ำจะต้องเติมน้ำกลั่นและได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นประจำ เพราะเมื่อใช้ไปสักระยะ น้ำที่อยู่ภายในจะระเหยออกไป จึงต้องคอยเติมอยู่เสมอไม่ให้ขาดและอย่าเติมล้นเกินไป เพราะเมื่อน้ำเดือด กรดจะล้นออกมากัดขั้วหรือตัวถังรถได้

   ถ้าเป็นแบตเตอรี่แบบแห้งไม่ต้องดูแลอะไรมาก แต่แบตเตอรี่แบบแห้งแท้ ๆ ราคาค่อนข้างสูงและอายุการใช้งานจะสั้นกว่าแบบน้ำ แบบที่นิยมใช้กันมากที่สุด คือ แบตเตอรี่แบบกึ่งแห้ง ซึ่งจะต้องเติมน้ำกลั่นปีละ 1-2 ครั้ง หากเราละเลยไม่เติมน้ำกลั่นก็จะทำให้แบตเตอรี่เสียหายและรถสตาร์ทไม่ติด ควรตรวจดูสภาพของแบตเตอรี่ก่อนที่จะขับรถทางไกลว่าอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์หรือไม่ หมั่นทำความสะอาดคราบขี้เกลือที่ขั้วแบตเตอรี่ตรวจสอบความแน่นของขั้วและฉนวนหุ้มสาย เช็คระดับน้ำกลั่นให้อยู่ในระดับที่กำหนดและเติมน้ำกลั่นให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม และอย่าลืมเช็ควันหมดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่เพื่อให้แน่ใจว่ายังใช้งานได้ดีอยู่หรือไม่ หมั่นสังเกตอาการ ถ้าเมื่อไหร่ที่เริ่มสตาร์ทติดยาก แบตเตอรี่อาจหมดอายุการใช้งาน (โดยทั่วไปมีอายุการใช้งานประมาณ 3 ปี) ให้เตรียมเปลี่ยนตัวใหม่ได้เลย

 

  • ล้อและยางรถยนต์ ต้องเช็คอะไรบ้าง

   ล้อและยางรถยนต์เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อน ไม่ว่าจะขับรถทางไกลหรือขับปกติตามท้องถนน เป็นอีกจุดสำคัญที่ไม่ควรพลาด เพราะอุบัติเหตุบนท้องถนนส่วนหนึ่งเกิดจากยางระเบิดขณะขับขี่ ดังนั้น สิ่งที่ต้องเช็ค อะไรบ้าง คือ ความดันลมยาง รอยแตกของยาง และความลึกของดอกยาง ยางทั้ง 4 ล้อ รวมทั้งยางอะไหล่ ต้องอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน ไม่รั่วซึม ไม่มีรอยแตก มีดอกยางเพียงพอ ส่วนล้อก็ควรอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ไม่บิดเบี้ยว และที่สำคัญ ต้องเช็คให้แน่ใจว่ามีการขันน็อตล้อจนแน่นหรือไม่

   วิธีเช็คลมยางรถยนต์ ให้เคาะยางดูว่าลมยางอ่อนหรือไม่ ลมยางของแต่ละล้อควรอยู่ในปริมาณที่พอดีตามที่คู่มือประจำรถกำหนด ถ้ามีล้อไหนลมหายไปเยอะผิดปกติกว่าเส้นอื่น ควรรีบหาสาเหตุและถ้ายางรั่วควรนำไปปะทันที ถ้าจะให้ดีควรเติมลมเพิ่มอีกสักหน่อยก่อนออกเดินทาง โดยเลือกปริมาณลมตามมาตรฐานของยางที่ใช้ คุณสามารถวัดปริมาณลมยางได้โดยใช้มาตรวัดลมยางที่มีให้บริการตามปั๊มน้ำมัน หรือจะซื้อหามาไว้ใช้เอง ปัจจุบันก็มีขายทั่วไปแล้วและราคาไม่แพง

เช็คหน้ายางว่ามีรอยฉีกขาดหรือรอยแตกหรือไม่ และมีดอกยางเหลือมากน้อยแค่ไหน ถ้าหน้ายางมีรอยแตกมากหรือมีดอกยางเหลือน้อย สภาพยางไม่ไหวแล้ว แนะนำให้คุณเปลี่ยนยางเส้นใหม่

 

  • น้ำมันเบรกและระบบเบรก ต้องเช็คอะไรบ้าง

   ระบบเบรกเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในการขับรถทางไกล ถ้าเบรกมีสภาพไม่สมบูรณ์อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ ดังนั้น ควรสังเกตผ้าเบรกและเสียงเบรกว่าอยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ปกติหรือไม่ วิธีเช็ค คือ เหยียบเบรก แล้วฟังว่ามีเสียงดังผิดปกติหรือไม่ หากมี แสดงว่าผ้าเบรกอาจมีปัญหา ควรเข้าอู่ให้ช่างแก้ไขโดยด่วน

   ในส่วนของน้ำมันเบรก ซึ่งมีระดับอยู่ระหว่าง Min กับ Max ถ้าในระดับปกติต้องไม่เกิน Max และไม่ต่ำกว่า Min แต่ถ้าเห็นว่าน้ำมันเบรกพร่องหายไป ควรรีบหาสาเหตุความผิดปกตินั้นทันที หรือนำรถไปให้ช่างผู้ชำนาญเช็คสภาพรถและแก้ไขทันที เพราะในความเป็นจริง ระบบเบรกเป็นระบบปิด น้ำมันเบรกจะไม่สามารถระเหยออกไปได้เอง เว้นแต่กรณีผ้าเบรกสึกหรือมีจุดรั่วไหล

 

  • ช่วงล่าง ต้องเช็คอะไรบ้าง

   การตรวจสอบช่วงล่างของรถยนต์เป็นเรื่องค่อนข้างยาก เพราะต้องมีเครื่องมือและอาศัยความชำนาญด้านช่างยนต์เป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม วิธีที่ดีสุดสำหรับการตรวจเช็คช่วงล่างรถยนต์ด้วยตัวเองทำได้โดยสังเกตจากอาการที่บ่งบอกว่าช่วงล่างกำลังมีปัญหา ดังนี้

  • การออกตัวรถและกำลังหยุดรถ ทั้งเดินหน้าและถอยหลัง ถ้ามีเสียงดังกึกกักเบาๆ แสดงว่าบูชปีกนกอาจจะมีปัญหา
  • เมื่อทดลองขับขี่บนถนนขรุขระจะมีเสียงดังกุกกัก แสดงว่าลูกหมากปีกนกอาจจะมีปัญหา
  • เมื่อลองขับขี่บนถนนขรุขระแล้วรถสะเทือนขึ้นมาจนถึงพวงมาลัย แสดงว่าลูกหมากแร็คอาจจะมีปัญหา หรือถ้าลูกหมากแร๊คแน่นอยู่แล้ว ยางรัดแร็คอาจจะมีปัญหา
  • เมื่อลองขับขี่บนถนนเรียบทางตรงแล้วพวงมาลัยมีอาการเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง แสดงว่าบูชปีกนกอาจจะมีปัญหา
  • เมื่อลองขับขี่ในทางตรง แต่รู้สึกได้ว่าล้อไม่ตรงและไม่สามารถควบคุมให้รถนิ่งได้ แสดงว่าลูกหมากแร็คอาจจะมีปัญหา
  • เมื่อลองขับขี่บนถนนขรุขระแล้วพวงมาลัยดึงและหลวม มีเสียงดังกุกกัก แสดงว่าลูกหมากคันชักอาจจะมีปัญหา
  • โช๊คก็เช่นเดียวกัน ตรวจเช็คคราบน้ำมันบริเวณแกนโช๊คว่ารั่วหรือไม่ เพราะระบบช่วงล่างทั้งหมดมีผลต่อการทรงตัวขณะขับขี่

อาการเหล่านี้เป็นสัญญาณความผิดปกติที่ไม่ควรนิ่งนอนใจ ให้รีบนำรถเข้าศูนย์หรืออู่ซ่อมรถเพื่อตรวจเช็คโดยด่วน อย่าฝืนใช้รถต่อไปเรื่อย ๆ เพราะผลเสียหายจะไม่คุ้มกันเลย

 

  • น้ำมันเครื่อง ต้องเช็คอะไรบ้าง

   น้ำมันเครื่องช่วยหล่อลื่นให้เครื่องยนต์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ น้ำมันเครื่องที่ดีจะต้องผ่านการใช้งานไม่เกินระยะทางที่คู่มือกำหนด ระดับน้ำมันเครื่องจะต้องอยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งคุณสามารถตรวจเช็คได้จากก้านวัดน้ำมันเครื่อง

   ควรหมั่นตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่องอย่างส่ำเสมอ ทำได้โดยจอดรถให้อยู่แนวราบ เปิดกระโปรงรถ มองหาก้านวัดระดับน้ำมันเครื่อง แล้วดึงก้านวัดขึ้นมา ใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาดน้ำมันเครื่องที่ติดอยู่บนก้านวัด เสียบก้านวัดคืนจุดเดิมแล้วดึงขึ้นมาเพื่อเช็คอีกครั้ง ให้สังเกตแถบน้ำมันเครื่องที่ติดอยู่บนก้านวัด ควรอยู่ระหว่างขีด F กับ L หรือ Max กับ Min แต่ถ้ามากหรือน้อยเกินไปควรเติมหรือลดน้ำมันเครื่องให้อยู่ในระดับปกติ อย่าปล่อยให้น้ำมันเครื่องแห้งเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นเครื่องยนต์อาจพังได้ และอย่าลืม ก่อนออกเดินทางไกล ควรมีน้ำมันเครื่องสำรองติดรถไว้อย่างน้อย 1 ลิตร เผื่อได้ใช้ในยามฉุกเฉิน

 

  • หม้อน้ำ ท่อยาง และระบบหล่อเย็น ต้องเช็คอะไรบ้าง

   ระบบระบายความร้อนถือเป็นหัวใจหลักอีกส่วนหนึ่งของเครื่องยนต์ เพราะถ้ามีความร้อนสะสมในขณะที่เครื่องยนต์ทำงาน บวกกับอุณหภูมิภายนอกที่ร้อน หากระบบระบายความร้อนไม่ดีหรือมีปัญหา อาจทำให้เครื่องยนต์น็อคได้

   ดังนั้น คุณควรควรตรวจสอบระบบหล่อเย็นอยู่เสมอ เช็คระดับน้ำหล่อเย็นในหม้อพักและหม้อน้ำว่ายังมีน้ำอยู่ไหม เช็คว่าพัดลมหม้อน้ำและมอเตอร์ยังทำงานเป็นปกติหรือไม่ ตรวจสอบรอยรั่วของหม้อน้ำ ท่อยาง และข้อต่อต่าง ๆ หากตรวจพบว่ามีน้ำไหลซึม ควรรีบแก้ไขโดยด่วน

 

  • ระบบไฟส่องสว่าง ต้องเช็คอะไรบ้าง

   คุณจำเป็นต้องเช็คระบบไฟส่องสว่างและสัญญาณไฟต่าง ๆ เพื่อความปลอดภัยในการขับรถทางไกล โดยเฉพาะในตอนกลางคืนหรือเมื่อขับขี่ผ่านจุดที่มีแสงน้อย โดยควรตรวจเช็คระบบไฟทุกส่วน ทั้งไฟหน้าสูง-ต่ำ ไฟท้าย ไฟเบรก ไฟเลี้ยว ไฟถอยหลัง ไฟตัดหมอก ไฟฉุกเฉิน ฯลฯ ต้องใช้งานได้ครบทุกจุด แสงต้องสว่างเต็มศักยภาพ ไม่มัว เราต้องเช็คอะไรบ้าง ให้ตรวจดูไฟส่องสว่างทุกดวงว่าอยู่ในสภาพใช้งานได้ปกติหรือไม่ หากจุดไหนไม่สว่างหรือติด ๆ ดับ ๆ ควรรีบนำรถไปให้ช่างแก้ไข หรือหาหลอดใหม่เปลี่ยนเข้าไปแทน

 

  • อุปกรณ์ฉุกเฉินติดรถ ต้องเช็คอะไรบ้าง

   ใครจะไปรู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้างขณะที่เรากำลังขับรถทางไกล แต่หากเราเตรียมความพร้อม พกอุปกรณ์ฉุกเฉิน ติดรถไปด้วยก็ยังอุ่นใจ ไม่ว่าจะเป็น ล้อ-ยางอะไหล่ แม่แรง ที่เติมลมฉุกเฉิน สายพ่วงแบตเตอรี่ สายจูงรถ ไฟฉาย ค้อนนิรภัย ร่ม ถังน้ำ ฯลฯ

 

   เมื่อได้ทราบกันไปแล้วว่า ก่อนขับรถทางไกล ต้องเช็คอะไรบ้างนั้น หากใครที่ต้องขับรถทางไกลในช่วงนี้ ก็อย่าลืมตรวจเช็คสภาพรถยนต์ให้พร้อมก่อนขับรถทางไกล รวมไปถึงเตรียมตัวผู้ขับขี่ให้พร้อมด้วยเช่นกัน และที่สำคัญคือควรขับขี่รถยนต์อย่างปลอดภัย ไม่ประมาท เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้ทุกเมื่อ

บทความอื่นที่ใกล้เคียง

เพราะรอยยิ้มของคุณ คือความสุขของเรา

ลมยางรถยนต์ควรเติมเท่าไหร่จึงจะดีที่สุด

รถแต่ละประเภทหรือแต่ละรุ่นเติมแรงดันลมยางไม่เท่ากัน จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามโดยเด็ดขาดเลยนะคะ แรงดันลมยางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเติมลมยางรถเก๋งนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 30-32 PSI (ปอนด์ต่อตารางนิ้ว) สำหรับล้อหน้าและล้อหลัง แต่ถ้าหากต้องบรรทุกน้ำหนักมาก เช่น กรณีที่มีผู้โดยสารเต็มทั้ง 5 ที่นั่ง หรือบรรทุกของด้านหลังจนเต็ม อาจเพิ่มปริมาณการเติมได้ถึง 33-35 PSI เนื่องจากน้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้น ส่วนแรงดันลมยางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับรถกระบะนั้นจะค่อนข้างใช้ลมยางที่มากกว่ารถเก๋งโดยสารตามปกติ โดยสำหรับล้อหน้าแรงดันยางจะอยู่ที่ประมาณ 36-38 PSI และล้อหลังที่ 40-42 PSI แต่ถ้าหากบรรทุกของเต็มท้ายรถ ก็สามารถเพิ่มปริมาณการเติมลมเพื่อรองรับน้ำหนักได้มากถึง 47-51 PSI เลยทีเดียวค่ะ

ไส้กรองอากาศ ตรวจเช็กง่ายๆ ด้วยตัวเอง

ไส้กรองอากาศ มีหน้าที่ เปรียบเสมือนจมูกของคนเราเนี่ยแหละค่ะ หากสูดอากาศที่มีแต่เศษฝุ่นเข้ามาก ๆ ก็ไม่ดีต่อร่างกาย ไส้กรองอากาศจะค่อยดักจับฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกไม่ให้เข้าไปภายในเครื่องยนต์ ซึ่งเมื่อใช้งานไปนาน ๆ อาจจะทำให้เกิดการอุดตัน อากาศผ่านเข้าไปในกระบอกสูบได้น้อยลง และทำให้การเผาไหม้ในห้องเครื่องยนต์ไม่สมบูรณ์ อายุการใช้งานของไส้กรองอากาศจะสั้นหรือยาว ขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละบุคคล และสภาพแวดล้อมเป็นหลัก โดยปกติทางบริษัทรถยนต์ กำหนดให้เราเปลี่ยนไส้กรองอากาศทุก ๆ 20,000-40,000 กิโลเมตร

scroll up